<img height="1" width="1" style="display:none;" alt="" src="https://px.ads.linkedin.com/collect/?pid=231787&amp;fmt=gif">

    ระบบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลแบบ On-Cloud กับ On-Premise ต่างกันอย่างไร?

    Stay Updated Get the latest news from Darwinbox about HR Technology, HR Trends and HR Best Practices.

    Darwinbox
    Written By
    Darwinbox
    March 4, 2024

    ในโลกยุคปัจจุบันข้อมูล (data) ถือเป็น asset หรือทรัพย์สินองค์กรที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากองค์กรต่างๆหันมาสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในเกมส์ธุรกิจด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นด้วยการประมวลผลข้อมูลในเชิงสถิติ การประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน และแนวโน้มสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล หรือการประมวลผลข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในองค์กรก็ตาม ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเข้าถึง และเรียกใช้ข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลามีความสำคัญ และจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้หากเราพิจารณาว่าข้อมูลคือทรัพย์สินอันมีค่าขององค์กร การปกป้องข้อมูลให้มีความปลอดภัย รวมถึงการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลที่มีความละเอียดอ่อนในแต่ละระดับก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

    On-Cloud กับ On-Premise ต่างกันอย่างไร

    วันนี้ Darwinbox จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับความแตกต่างในการจัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลบนระบบที่แตกต่างกันซึ่งก็คือระบบแบบ On-Cloud และแบบ On-Premise ดังที่ทุกท่านอาจเคยได้ทราบข้อมูลกันบ้างมาไม่มาก็น้อยแล้ว แต่ในวันนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับทั้ง 2 ระบบแบบเชิงลึก ทำการเปรียบเทียบข้อแตกต่างเป็นข้อๆเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าระบบไหนจะเหมาะสมกับองค์กรของคุณในอนาคต 

    ระบบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลแบบ On-Cloud คืออะไร

    ระบบ Cloud หรือ On-Cloud เป็นการให้บริการระบบในรูปแบบ System Host ซึ่งทำหน้าที่เป็นระบบศูนย์กลางเพื่อการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลโดยอนุญาตให้ระบบ หรือแพลตฟอร์มอื่นๆเข้ามาเชื่อมต่อเพื่อใช้งานแบบออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ต โดยศูนย์กลางการจัดเก็บข้อมูลนี้จะอยู่บนออนไลน์เซอร์เวอร์ หรือที่เรียกว่า On-Cloud Server

    กล่าวคือระบบ หรือแพลตฟอร์มใดๆที่ให้บริการแบบ On-Cloud คือการที่ระบบนั้นๆให้บริการ และเก็บข้อมูลบนฐานข้อมูลออนไลน์ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้งานระบบ ให้สามารถใช้งานแพลตฟอร์ม และเรียกใช้ข้อมูลใดๆที่ถูกป้อนและจัดเก็บอยู่บนระบบได้ทุกที่ทุกเวลา ตราบใดที่เครื่องมือใช้งานแพลตฟอร์มกำลัง “ออนไลน์” อยู่นั่นเอง

    On-Cloud Server เป็นเครือข่ายศูนย์ข้อมูลออนไลน์ขนาดใหญ่ โดยมีทีม IT ของผู้ให้บริการระบบเป็นผู้ดูแล และอัพเดตระบบให้มีความปลอดภัยและทันต่อเทคโนโลยีปัจจุบันอยู่เสมอ หากคุณเคยได้ยินคำว่า “server ล่ม จึงไม่สามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลได้ คำ ๆนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ง่ายๆกับการใช้งานระบบแบบ On-Cloud เนื่องจาก server ขนาดใหญ่อันเป็น server หลักของระบบจะถูกติดตั้งอยู่ตามภูมิภาคที่สำคัญต่างๆทั่วโลก โดยแต่ละ server หลักจะถูกเชื่อมต่อเข้าถึงกันเพื่อทำหน้าที่จัดเก็บ อัพเดตข้อมูล รวมถึงทุกๆการดำเนินการกับข้อมูล (transactions) แบบเรียลไทม์ หาก server ใด server หนึ่งเกิดเหตุสุดวิสัยทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ server อื่นๆที่เหลืออยู่จะทำการจัดเก็บ และประมวลผลข้อมูลตามการเรียกใช้งานแทนจนกว่า server ที่เสียหายนั้นจะกลับมาใช้งานได้อีกรอบ

    การติดตั้งเพื่อใช้บริการ On-Cloud Server สามารถทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว อันที่จริงแล้วผู้ใช้บริการเพียงต้องเสียค่าบริการเพื่อ เช่า ใช้งานระบบแบบรายเดือนตาม resource หรือพื้นที่จัดเก็บ (CPU, RAM, HDD) ที่ต้องการเท่านั้น ซึ่ง On-Cloud Server สามารถรองรับการเติบโตทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว โดบผู้เช่าบริการสามารถเพิ่ม หรือ ลดจำนวน resource (CPU, RAM, HDD) ได้ตามต้องการโดยไม่ต้องเสียเวลาติดตั้ง server ใหม่ ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในจุดแข็งของระบบเซอร์เวอร์แบบ On-Cloud

    ระบบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลแบบ On-Premise คืออะไร

    On Prem หรือ On-Premise คือระบบ server แบบที่มีการติดตั้งและสามารถใช้งานได้ภายในองค์กรเพียงเท่านั้นซึ่งมีระยะเวลาในการใช้งานนานประมาณ 3-5 ปี โดยเมื่อครบกำหนดอายุเวลาแล้วโดยมากมักจะติดตั้ง Hardware server ตัวใหม่เนื่องจากเหตุผลทางด้านความปลอดภัยของข้อมูล และความต้องการในการอัพเดตเทคโนโลยีใหม่ การติดตั้งระบบแบบ On-Premise คือการซื้อขาดเทคโนโลยีในรูปแบบ Hardware server โดยผู้ซื้อ หรือใช้งานระบบจำเป็นที่จะต้องมีทีม IT เป็นของตนเองเพื่อบำรุงรักษา และอัพเกรดระบบด้วยตนเองอยู่เสมอเพื่อให้ระบบ server นั้นสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่น หากองค์กรไม่มีทีม IT support เป็นของตัวเองสามารถเลือกใช้บริการ IT support จากผู้ให้บริการ IT outsource ได้ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามเรทการให้บริการของผู้ให้บริการแต่ละรายแตกต่างกัน

    ระบบ server แบบ On-Premise เป็นการใช้งานระบบปิด กล่าวคือการจะเข้าถึงข้อมูลได้ ผู้เรียกใช้ข้อมูล รวมถึงเครื่องมือที่จะใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูลนั้นๆ จะต้องเป็นเครื่องมือที่มีการติดตั้งการเชื่อมต่อเอาไว้แล้ว และต้องอยู่ในพื้นที่ที่ระบุเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าถึง หรือใช้งานข้อมูลได้

    ในยุคก่อนระบบแบบ On-Premise มีความนิยมสูงกว่าระบบแบบ On-Cloud เพราะเชื่อว่ามีความปลอดภัยทางด้านข้อมูลมากกว่า อย่างไรก็ดีในยุคปัจจุบันที่ข้อมูลมีความเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น และลดลงเป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขนาดของ server หากต้องการจะติดตั้งระบบแบบ On-Premise ผู้ติดตั้งระบบจะทำการคำนวณ Buffer หรือขนาดพื้น server สำรองเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของข้อมูลไว้ ซึ่งในส่วนนี้จะก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่มากเกินความเป็นจริงตั้งแต่ช่วงติดตั้งระบบ รวมถึงเมื่อคำนึงถึงความสะดวกในการเข้าถึงและใช้งานข้อมูลแบบเรียลไทม์ องค์กรส่วนมากในปัจจุบันจึงเริ่มเปลี่ยนมาลงทุนในระบบ Cloud มากขึ้นเรื่อย

    ข้อแตกต่างระหว่างระบบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลแบบ On-Cloud และ On-Premise

    เมื่อเข้าใจพื้นฐานของระบบแบบ On-Cloud และ On-Premise แล้ว ในการที่จะประเมินเพื่อการตัดสินใจว่าองค์กรของคุณเหมาะที่จะลงทุนในระบบใดมากกว่ากันนั้น คุณจะต้อทราบถึงข้อแตกต่างซึ่งมีทั้งข้อดี และเสียที่แตกต่างกันไประหว่าง 2 ระบบ วันนี้ Darwinbox ได้ทำการรวบรวม และสรุปข้อมูลความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 ระบบมาให้เป็นข้อๆดังนี้

    1. ค่าใช้จ่าย และการลงทุน (Cost):

    On-Cloud:

    - ค่าติดตั้ง และปรับระบบ (Implementation and Configuration Fees) เป็นค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียวเมื่อเริ่มติดตั้ง และป้อนข้อมูลเข้าระบบ

    - ค่าเช่าใช้งานระบบแบบรายเดือน (Subscription Fees) โดยเป็นการจ่ายตามจำนวนใช้งาน server จริง สามารถเพิ่ม หรือลดได้ ทั้งนี้ค่าบริการรายเดือนได้รวมค่าดูแลระบบ (Administration Fees) แล้ว

    - ค่าฝึกสอนการใช้งานระบบ (Training Fees) ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ขึ้นกับผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการระบบบางรายได้รวมค่าใช้จ่ายในส่วนการฝึกสอนเข้ากับค่าเช่าใช้งานระบบแบบรายเดือนแล้วจึงไม่มีค่าใช้จ่ายยเพิ่มเติม

    On-Premise:

    - ค่าเอกสิทธิ์การใช้บริการ (Software Licensing Fees)

    - ค่าบำรุงรักษารายปี (MA - Maintenance Service Agreement) ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายรายปี ราย 3ปี หรือราย 5ปี ตามที่ระบุไว้ในสัญญา

    - ค่าติดตั้ง และปรับระบบ (Implementation and Configuration Fees) เป็นค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียวเมื่อเริ่มติดตั้ง และป้อนข้อมูลเข้าระบบ

    - ค่าติดตั้ง Hardware ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ดีค่าใช้จ่ายนี้ถือเป็นการลงทุนจำนวนมาก และหากครบกำหนดระยะเวลา 3-5ปี องค์กรส่วนมากนิยมเปลี่ยนเป็น Hardware รุ่นใหม่ด้วยเหตุผลในเรื่องความปลอดภัยในการปกป้องข้อมูลจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Security) และเพื่อให้สามารถรองรับเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาได้

    - ค่าจ้างทีมดูแลระบบ (IT Personnel Fees) เนื่องจกระบบแบบ On-Premise เป็นระบบซื้อขาด ดังนั้นองค์กรจึงมีความจำเป็นต้องจัดตั้งทีม IT ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลรักษาทั้งในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล และการดูแลรักษา รวมถึงอัพเดต Software ให้เป็นเทคโนโลยีปัจจุบันอยู่เสมอด้วยตัวเอง ซึ่งค่าใช้จ่ายนี้ถือเป็นค่าใช้จ่ายแบบต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) ซ่งเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมาก บางองค์กรจึงตัดสินใจใช้บริการ IT ภายนอกองค์กรหรือ (IT Outsourcing) ซึ่งอาจมีค่าบริการต่อเดือนที่ต่ำกว่า แต่ก็มีความเสี่ยงในเรื่องการรั่วไหลของข้อมูล (Data Breach) มากกว่าเช่นกัน

    - ค่าฝึกสอนการดูแลระบบ (IT Training Fees) เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อฝึกฝนทักษะของทีม IT ในองค์กร และฝึกสอนพนักงานในการปกป้องดูแลข้อมูลไม่ให้เกิดการรั่วไหล

    - ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการดูแลรักษาระบบ อาทิ ไฟฟ้า และ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น เนื่องจากการติดตั้ง hardware ภายในองค์กรซึ่งมีความจำเป็นต้องอยู่ในห้องที่มีความเย็นสูง และได้รับการบำรุงรักษา ตรวจสอบตลอดเวลา ค่าใช้จ่ายแฝงส่วนนี้จึงมีจำนวนมาก

    1. การดูแลรักษาระบบ (System Maintenance):

    On-Cloud:

    - ต้องการเพียงทีม IT Support เพื่อช่วยให้การตรวจสอบดูแลเมื่อเกิดเคสปัญหาต่างๆ เพื่ออัพเดตเวอร์ชั่นของระบบให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ทั้งนี้เนื่องจากระบบจะถูกพัฒนาและอัพเดตอยู่ตลอดเวลา ระบบแบบ Cloud ไม่จำเป็นต้องมีบุคลากรดูแลเป็นจำนวนมาก เนื่องจากระบบจะมีการตรวจสอบ และแจ้งเตือนอัตโนมัติ การติดตั้ง หรืออัพเดตซอฟต์แวร์สามารถทำได้ง่าย

    On-Premise:

    - จำเป็นต้องมีบุคลากรเฉพาะทาง เพื่อดูแลระบบโดยเฉพาะ อาทิ Data Admin, Data Security, Data Infrastructure เป็นต้น เนื่องจากระบบ On-Premise เป็นระบบซื้อขาดผู้จำหน่ายระบบทำหน้าที่เพียงช่วยติดตั้ง และปรับระบบ (Implementation and Configuration) ตามต้องการในครั้งแรกเพียงเท่านั้น แต่ไม่ได้ช่วยดูแลลในส่วนการบำรุงรักษา

    1. การเข้าถึงและใช้งานระบบ:

    On-Cloud:

    - สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านเว็บบราว์เซอร์ (Web Browser) หรือแอพพลิเคชั่น (Application) ผ่านอุปกรณ์ใดก็ได้ด้วยการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต โดยข้อมูลจะถูกอัพเดต และประมวลแบบเรียลไทม์ ข้อจำกัดเพียงหนึ่งเดียวในการเข้าถึงข้อมูลด้วยระบบ Cloud คือเมื่อใดก็ตามที่ระบบอินเตอร์เน็ตล่ม

    On-Premise:

    - สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ผ่าน Hardware และ Software ที่ถูกตั้งค่าไว้เท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้วจะถูกจำกัดพื้นที่ใช้งานเพียงแต่ในพื้นที่องค์กรเท่านั้น ทำให้เมื่อใดก็ตามที่ต้องการเข้าถึง หรือเรียกใช้ข้อมูลผู้ใช้งาน (Users) จำเป็นที่จะต้องเข้าถึงข้อมูลผ่านอุปกรณ์ที่มีการตั้งค่าไว้แล้วภายในบริเวณองค์กรเท่านั้น

    1. การบริหารความปลอดภัย และความเสี่ยง (Security and Risk Management):

    On-Cloud:

    - การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล (Access Control) สามารถปรับเปลี่ยนระดับ หรือกลุ่มผู้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลาตามความเหมาะสม นโยบายองค์กร หรือ ข้อกำหนดที่มีการอัพเดตอยู่เสมอ โดยการปรับเปลี่ยนสามารถทำได้อย่างง่ายดายผ่านการตั้งค่าข้อมูลใหม่บนระบบโดยตัวแอดมินผู้ดูแลระบบเอง ไม่จำเป็นต้องใช้ทีม IT Development ในการทำการแก้ไข

    - ระบบป้องกันและแจ้งเตือนการถูกโจมตีโดยอัตโนมัติ ตามปกติแล้วระบบ Cloud Solutions จะมีการติดตั้งโปรแกรมเพื่อป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ขั้นสูง หรือที่เรียกว่า Cloud Computing ซึ่งจะมีการอัพเดตตลอดเวลาเพื่อป้องกันการโจมตีรูปแบบใหม่ๆ โดยมีทีม IT Security ของผู้ให้บริการระบบคอยทำการตรวจสอบความปลอดภัย โดยทำการโจมตีระบบ หรือทำตัวเป็นแฮกเกอร์ (Hacker) เสียเอง เพื่อตรวจสอบจุดรั่วไหลของ Firewall เพื่อทำการแก้ไขปรับปรุงต่อไปนั่นเอง

    - การทำ training พนักงานในองค์กรให้เท่าทันต่อการโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) มีความจำเป็นเป็นอย่างมาก ผู้ให้บริการ Cloud บางรายมีการให้บริการในส่วนการจัดทำ training ผ่านรูปแบบต่างๆ ไม่วาจะเป็นการฝึกสอนผ่านคอสเรียนออนไลน์ หรือการสุ่มโจมตีพนักงานผ่านระบบเพื่อตรวจสอบความพร้อมของพนักงานในองค์กรเป็นต้น

    - มีการจัดสำรองข้อมูล ดังที่กล่าวไปข้างต้นว่าการทำงานของระบบ Cloud คือการสร้างเครือข่ายศูนย์ข้อมูลออนไลน์ โดยมีฐานข้อมูล หรือ Data Center หลักในหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก นั่นหมายความว่าข้อมูลของคุณจะถูกจัดเก็บและสำรองข้อมูลไว้ตาม Data Center ต่างๆที่ทางผู้ให้บริการระบบ Cloud มีอยู่ หาก Data Center ที่ใช้งานหลัก (โดยปกติจะเป็น Data Center ที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ใช้งานที่สุด อาทิ หากเป็นองค์กรในประเทศไทย Data Center จะอยู่ในประเทศเขตภูมิภาคอาเซียน โดยในปัจจุบันผู้ให้บริการระบบ Cloud บางรายก็มีการตั้ง Data Center ในประเทศไทยเช่นกัน) เกิดปัญหาขึ้น การเรียกใช้งานและเข้าถึงข้อมูลจะยังสามารถทำได้เป็นปกติ เพียงอาจเกิดความล่าช้าขึ้นเล็กน้อ ย เนื่องจากจะเป็นการเรียกใช้ข้อมูลจาก Data Center ที่อยู่ไกลขึ้น ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า หากเกิดเหตุสุดวิสัยที่ข้อมูลถูกลบไป ข้อมูลสำคัญเหล่านั้นจะยังถูกสำรองเก็บอยู่ใน Data Center อื่น

    ** อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของ Cloud Computing อยู่มากเนื่องจากลูกค้าระบบจำเป็นจะต้องฝากความหวังในการการเก็บรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเกือบทั้งหมดไว้บนมือของผู้ให้บริการระบบ Cloud

    On-Premise:

    - การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล (Access Control) จะเป็นไปตามที่ตั้งค่าไว้แต่เดิมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หรือหากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ทีม Development ที่ดูแลระบบจำเป็นต้องเขียนโค้ดใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวซึ่งจะกินระยะเวลานาน และอาจส่งผลกระทบต่อโค้ดระบบอื่นๆ

    - องค์กรจำเป็นต้องมีทีม Data Security ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attack) ในการดูแลรักษาระบบ

    - องค์กรจำเป็นต้องจัด training พนักงานในองค์กร และพนักงานใหม่อย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูล เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีผ่าน มัลแวร์ (Malware), แรนซัมแวร์ (Ransomware), โจมตีแบบดักกลางทาง (Man-in-the-middle attack), ฟิชชิ่ง (Phishing), การโจมตีโดยปฏิเสธการให้บริการ (Distributed Denial of Service: DDOS), ภัยคุมคามจากภายใน (Insider threat)

    - ไม่มีการสำรองข้อมูล ในกรณีเกิดเหตุรั่วไหล ระบบล่ม หรือถูกโจมตีทางไซเบอร์แล้วถูกลบข้อมูล จะทำให้ทั้งองค์กรไม่สามารถเข้าถึงและเรียกใช้ข้อมูลดังกล่าวได้ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายทางธุรกิจได้อย่างสูง

    ** เชื่อว่าการเก็บรักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการใช้งานระบบ On-Premise มีความน่าเชื่อถือกว่าแบบ On-Cloud เนื่องจากข้อมูลจะถูกเก็บรักษาไว้ภายใน Data Center ซึ่งอยู่ในพื้นที่ขององค์กรเท่านั้น การรั่วไหลของข้อมูล หรือ Data Breach โดยมากจะเกิดจากฝีมือบุคคลภายในองค์กรที่จงใจปล่อยข้อมูลเท่านั้น อย่างไรก็ดีมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ประสงค์ร้ายจะแอบเข้ามาในพื้นที่องค์กรและโจมตี Data Center จากภายใน

    1. การปฏิบัติตามข้อกำหนด และกฎหมาย (Compliance):

    On-Cloud:

    - On-Cloud Solution อาจมีข้อจำกัดบางประการที่อาจไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดของธุรกิจอุตสาหกรรม อาทิ ศูนย์พื้นที่จัดเก็บข้อมูล (Data Center) จะเป็น ต้องอยู่ในประเทศเพียงเท่านั้น ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการ องค์กรควรมีการทำ Due Diligence หรือการสอบทานธุรกิจและการให้บริการของผู้ให้บริการเสียก่อน เพื่อให้มั่นใจว่า รูปแบบการให้บริการของผู้ให้บริการ Cloud รายนั้นๆมีความสอดคล้องกับธุรกิจองค์กร

    On-Premise:

    - เนื่องจากทั้ง Hardware และ Software ถูกควบคุมและกำกับดูแลโดยองค์กร ดังนั้นการควบคุมดูแลการเข้าถึง ประมวลผล และเผยแผ่ข้อมูลจึงถูกกำกับดูแลโดยผู้ดูแลระบบขององค์กรทั้งสิ้น ทั้งนี้หากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านข้อปฏิบัติ ข้อกำหนด กฎหมาย หรือนโยบาย ผู้ดูแลระบบจำเป็นจะตั้งอัพเดตข้อมูลอยู่เสมอ เพื่อปรับปรุงระบบให้เป็นไปตามข้อกำหนด และกฎหมายเหล่านั้น

    1. อายุการใช้งาน (Lifespan):

    On-Cloud:

    - เนื่องจากการบำรุงรักษา Hardware การอัพเดตเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ใหม่ๆ รวมไปถึงการเก็บข้อมูลต่างๆที่ data center อยู่ที่ความรับผิดชอบของผู้ให้บริการระบบ cloud solution ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า On-Cloud Solution มีอายุการใช้งานนานตราบเท่าที่ผู้ใช้บริการยังพิจารณาเช่าใช้บริการระบบ cloud นั้นๆอยู่

    On-Premise:

    - โดยปกติแล้วอายุการใช้งานของ Hardware จะมีอายุอยู่ประมาณ 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษาระหว่างการใช้งาน Hardware นั้นๆ อย่างไรก็ดี เมื่อครบกำหนดระยะเวลาอายุการใช้งานแล้ว องค์กรมักลงทุนติดตั้ง Hardware ตัวใหม่แทนชุดเดิม เนื่องด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัยของข้อมูล และขีดความสามารถในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ Hardware รุ่นเก่ามักมีขีดจำกัดในการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

    1. เทคโนโลยี และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (Technology and Scalability)

    On-Cloud:

    - เทคโนโลยี รวมไปถึงข้อมูลต่างๆบนระบบจะถูกดูแล และอัพเดตแบบเรียลไทม์ตลอดเวลา ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้บริการเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดได้อยู่เสมอ โดยตามปกติแล้วระบบจะส่งแจ้งเตือนล่วงหน้าหากมีการอัพเดตเวอร์ชั่น ซึ่งผู้ดูแลระบบ หรือผู้ใช้งานสามารถอัพเดตเวอร์ชั่นของระบบให้เป็นเทคโนโลยีปัจจุบันได้ด้วยตนเองอย่างง่ายดาย

    - การทำ scale-up (เพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูล) หรือ scale-down (ลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูล) สามารถทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพียงแจ้งต่อผู้ให้บริการระบบรับทราบเนื่องจากการเพิ่ม หรือลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูลจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาค่าบริการเช่าใช้งานระบบ

    On-Premise:

    - ผู้ใช้บริการระบบแบบ On-Premise จะสามารถใช้งานเทคโนโลยีในเวอร์ชั่นตอนติดตั้งระบบเท่านั้น เทคโนโลยีจะไม่ถูกพัฒนาเวอร์ชั่นตามเทคโนโลยีใหม่ๆที่เกิดขึ้น แต่หากผู้ใช้บริการระบบแบบ On-Premise มีทีม IT Development ที่สามารถช่วยดูแลอัพเดตเทคโนโลยีใหม่ๆให้กับระบบได้ระบบก็จะถูกพัฒนาได้เช่นกัน อย่างไรก็ดีเนื่องจากข้อจำกัดทางด้าน Hardware เทคโนโลยีระบบจะถูกพัฒนาได้ในระยะเวลาช่วงสั้นๆเท่านั้น

    - มีข้อจำกัดในการ scale-up (เพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูล) หรือ scale-down (ลดพื้นที่จัดเก็บข้อมูล) ไม่สามารถทำได้เองในทันที จึงไม่เป็นผลดีกับองค์กรที่มีความเปลี่ยนแปลงทางด้านข้อมูล และบุคลากรอย่างรวดเร็ว

    จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น Darwinbox เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าผู้ที่อ่านบทความมาจนถึงบรรทัดนี้จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อแตกต่างระหว่างการให้บริการระบบ HRMS On-Cloud Solution และ HRMS On-Premise Solution เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย

    สำหรับ Darwinbox เองแล้วเราคือผู้ให้บริการระบบ On-Cloud HCM แบบครบวงจร กล่าวคือ ระบบ HCM Solution ของเราให้บริการทั้งในส่วน HRIS และ HRMS แบบ On-Cloud Solution ระบบ HCM ที่เราให้บริการจะมีรอบการปรับปรุงพัฒนาเทคโนโลยีเวอร์ชั่นใหม่ๆตลอดเวลา ซึ่งทำให้ผู้ใช้บริการระบบของเราก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ๆในวงการ HR ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น การวิเคราะห์ข้อมูลและการทำรายงาน การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในกระบวนการสรรหาบุคลากร Employee Engagement Employee Helpdesk หรือการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในกระบวนการต่างๆทางด้าน HR อีกมากมาย ที่เราเรียกว่า Darwinbox Sense หากคุณผู้อ่านสนใจรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการให้บริการระบบ HCM Solution จาก Darwinbox คุณผู้อ่านสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทีมงานของเราได้โดยตรงโดยทำการนัดหมายเพื่อรับชมการสาธิตระบบ ที่นี่

    View all posts

    Stay Updated Get the latest news from Darwinbox about HR Technology, HR Trends and HR Best Practices.

    Speak Your Mind

    Subscribe and stay up to date